.jpg)
เพราะเด็กไม่มีภาษาอื่นที่จะใช้สื่อสารกับผู้ใหญ่ นอกจากภาษาแรกที่เขากำลังได้ยิน และได้เห็น
เขาจึงพยายาม ฟัง และพูดเรียนแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงแรกเป็นการเรียนรู้ด้วยความจำมากกว่าใช้หลักการ
เมื่อสื่อสารได้ระดับหนึ่งแล้วจึงถูกครูที่โรงเรียนสอนเรื่องหลักภาษาในภายหลัง
ข้อเท็จจริงของการเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาที่คนเราเรียนรู้ 2 แบบ
1.ภาษาสัญญาลักษณ์ เรียนรู้จากการมองเห็น
เช่น การส่ายหน้า หมายถึง ไม่, การพยักหน้า หมายถึง ใช่
2.ภาษาที่ใช้เสียง เรียนรู้จากการได้ยิน
การเรียนรู้ภาษาของเด็ก การออกเสียงพูดภาษาอังกฤษ และการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็ก
แรกเกิด
เมื่อหมอตีก้นด็กแรกเกิดที่พึ่งคลอดออกมาใหม่
สิ่งเดียวที่เด็กทำเป็น คือ ร้องแงเสียงดัง
เป็นขั้นแรกในการสื่อสารด้วยภาษาที่ใช้เสียงของชีวิต
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเด็กหิวก็ร้องอีกครั้ง
พ่อ หรือแม่ ไม่เข้าใจความหมายของเด็ก แต่ก็สันนิฐานว่าเด็กหิว,
ฉี่ หรือ อึ แล้วตอบสนองเด็กเป็นการกระทำต่างๆ เช่น หานมให้กิน
หรือเปิดผ้าอ้อมดู ระหว่างนั้นก็บ่นอะไรออกมาเป็นคำพูดสั้นๆ
เช่น กินนมๆ หรือโอ๋ฉี่ๆ เสียงที่เด็กได้ยินในเบื้องต้น
เด็กยังไม่เข้าใจความหมาย แต่จะจำน้ำเสียงที่ได้ยิน และภาพเหตุการณ์ที่ตอบสนองเสียงนั้นได้
เด็กก็เริ่มเรียนรู้โดยจับคู่น้ำเสียง และภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไว้กับตัวเขา แต่เขายังไม่สามารถพูดโต้ตอบกับพ่อ หรือแม่ได้
ก่อนพูด
เด็กได้ยินเสียง และเข้าใจสิ่งที่พ่อ หรือแม่พูด
แล้วตอบสนองเป็นการกระทำต่างๆ ได้
แต่เขายังไม่สามารถพูดโต้ตอบกับพ่อหรือแม่ได้
เริ่มหัดพูด
เด็กส่วนมากพูดคำว่าพ่อ หรือแม่ก่อน แต่หากเป็นเด็กฝรั่งก็พูดว่า DAD และMOM :ซึ่งก็หมายถึง พ่อ และแม่เช่นกัน
เพราะเด็กฝรั่งไม่ได้ยินคำว่า พ่อ และแม่
เด็กนำเสียงที่จดจำไว้มาพูดสื่อสาร หลังจากนั้นก็พูดคำอื่นๆ
ถัดไปเสียงที่เปล่งออกมาอาจยังไม่ชัดเจน
แต่นั้นคือ เขาเริ่มฝึกทักษะการพูดแล้ว สามารถสื่อสารให้พ่อ และแม่เข้าใจได้ เนื่องจากทักษะการขยับปาก และลิ้นยังไม่เก่งพอ
พัฒนาให้พูดชัดขึ้น
พ่อ และแม่จะพูดตัวอย่างเสียงที่ถูกต้องให้ลูกฟัง
เด็กก็พยายามทำตามบางครั้งเด็กไม่อาจเปล่งเสียงให้เหมือน
พ่อแม่ได้ เพราะความชำนานในการพูดยังไม่มากพอ
แต่เขาก็แค่ทำซ้ำอีกครั้งๆ จนทำได้
ขอขอบคุณ www.paulroom.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น