15 ก.ย. 2553

การเรียนภาษาที่สอง SLA


เรียนภาษาที่สองอย่างไรให้ประสบความสำเร็จตัวผู้เขียนเอง ก็คิดเรื่องนี้มานานว่าต้องเรียนอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จ ด้วยระบบการศึกษาของไทยให้นักเรียนได้เรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลาเป็นสิบๆ ปี แต่ทำใมๆ ก็ยังไม่ได้สักที ไวยากรณ์ก็เรียนไปเหอะ เรียนกี่ทีๆ ก็ต้องเริ่มใหม่ทุกที ได้แต่คุ้นๆ กันไป แล้วก็ต้องมานั่งงง นั่งอ่านใหม่ทุกที

แต่ฉันเอง ถือได้ว่าเป็นคนที่โชคดี ได้มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต ตอนสมัยมัธยมได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย- อเมริกา โก้ เก๋ น่าดู ใครๆ ก็นึกว่าอู้ฮู เก่งเหลือเกิน ตัวฉันเองก็งงๆ ว่าเก่งจริงเปล่าเนี่ย
แต่สมัยนั้น ก็เรียกได้ว่ามั่นใจตัวเองในระดับหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเป็นคนที่มีบุคลิกในการเรียนรู้อะไรได้เร็ว ก็ถูไถเอาตัวรอดไปได้ แต่พอไปเจอของจริง โห๊ ทำใมฟังไม่รู้เรื่องเลยว๊า ที่คิดว่าเจ๋ง ก็เลยจ๋อยไปซะ คือ ตัวฉันเองก็เรียนภาษาอังกฤษจากตำรานี่แหละ สมัยนั้นอาจารย์ฝรั่งก็ไม่มีหรอก ก็มีแต่อาจารย์ไทยๆ ดั้งเดิมของเรานี่แหละมาสอน พอมาเจอของจริง ก็เลยจอดซะ ปัญหาที่เจอก็คือ ไอ้บทสนทนาที่เป็นของจริงที่เจอเนี่ย ก็เคยเจอมาแล้วนะ แต่ทำใมถึงเวลาที่เขาถามมาแล้วเราต้องตอบ ถึงพูดไม่ออก ปากมันไม่ขยับ ได้แต่เหวอ อยู่อย่างนั้น แก้เก้อไปด้วย yes, no แล้วก็ยิ้มหวานๆ เอาตัวรอดไป เอาไว้จะมาเล่าประสบการณ์การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนให้ฟังกันสนุกๆ นะคะ ว่าตัวผู้เขียนเรียนภาษาอย่างไร และก็มีวิวัฒนาการในการเรียนภาษาอย่างไร

เกริ่นมานาน การเรียนภาษาที่สองที่ดีแล้ว จริงๆ เราก็ต้องอิงความรู้จากภาษาแม่ที่เรามีนั่นแหละ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ และเทียบเคียงภาษา ไวยากรณ์ และความหมายของภาษาจากภาษาแม่ไปสู่ภาษาที่สอง

สิ่งแรกเลยที่จะต้องมี ต้องมีเป้าหมายค่ะ เป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่เราจะทำสิ่งใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ อย่างเช่น “ฉันจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้”หรือ “ฉันจะต้องเขียนให้ได้เลิศหรู” อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะ

ประการที่สองคือ ฝึก และก็ฝึก และก็ฝึกเท่านั้นค่ะ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะดีไปกว่า ความขยันฝึกฝน หมั่นซ้อม เขาบอกเอาไว้ว่า การที่เราจะเรียนรู้วิธีการพูดอะไรอย่างหนึ่ง ต้องผ่านการป้อนข้อมูล (input) เข้าไปในสมองไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง และจะเกิดความเข้าใจ รับรู้ และเรียนรู้ ทำให้สามารถพูดได้เป็น output ออกมาในที่สุดค่ะ และก็ต้องอย่าลืมทบทวนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ
ประการที่สาม ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษา ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กับข้ออื่นเลยค่ะ การที่เรามีทัศนคติที่ดี ทำให้เรา มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้

ประการที่สี่ ต้องให้เวลาเรียนอย่างเหมาะสม ทีละน้อยแต่บ่อยๆ ค่ะ อย่าไปโหม ยิ่งไปอัดๆ ข้อมูลไปมากๆ สุดท้ายก็จะจำไม่ค่อยได้ วิธีก็คือ หาเวลาอ่านหรือเรียนรู้ทุกวัน ครั้งละ ครึ่งชั่วโมง ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ทุกๆ วัน วิธีนี้จะได้ผลดีกว่าการโหมอ่านค่ะ

สุดท้ายการเรียนภาษาเพื่อให้ได้มาเพื่อความชำนาญ ไม่ใช่การศึกษาเนื้อหาความรู้แต่เพียงอย่างเดียวค่ะ แต่การเรียนภาษาคือการสร้างทักษะที่สำคัญสี่ด้าน คือ การฟัง พูด อ่าน เขียน ทักษะพวกนี้เราสามารถพัฒนามันได้จนเกิดความชำนาญ แต่ต้องอาศัยระยะเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างนาน อยู่ที่ว่า คุณมีเป้าหมายในการเรียนภาษาอย่างไร บางคนตั้งไว้แค่ว่า ขอแค่พูดได้ก็พอ บางคนก็ต้องการทักษะการเขียนด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่การฝึกฝนค่ะ

ขอขอบคุณ www.bloggang.com/viewdiary.php?id=absoluteaommy&month=03-2008&date=06&group=1&gblog=2

ไม่มีความคิดเห็น: